กายสิทธิ์แห่งคด
กายสิทธิ์คืออะไร ? กายสิทธิ์นั้นมีความหมายในพจนานุกรม หมายถึง สำเร็จในตัวเอง และหมายถึงสิ่งที่มีฤทธิ์เดชต่าง ๆ กายสิทธิ์ลงที่ไหน ที่นั่นก็แปรสภาพจากของที่ไม่ถาวรกลับกลายเป็นของที่ถาวร จากของที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์
ธาตุกายสิทธิ์ คือ สสาร+พลังงาน มีความเป็นมาเป็นไปที่กำเนิดลี้ลับซับซ้อนมหัศจรรย์ แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณ อำนาจที่มี อานุภาพศักดิ์สิทธิ์เหนือเหตุผล ที่ยากจะตอบได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ ในบ้านเมืองเรานั้นมีของกายสิทธิ์เกิดขึ้นมากมายหลากหลายชนิด ทั้งที่เปิดขึ้นมาให้มนุษย์ได้พึ่งพาอิทธิบารมีบ้างแล้ว และที่ยังหวงห้ามไม่มีใครได้พบเห็นยังมีอีกจำนวนมาก ซึ่งนั่นก็ต้องอยู่ที่บุญวาสนาของแต่ละคนไป ธาตุกายสิทธิ์ นั้นเป็นกายสิทธิ์อยู่ในตัวเอง และมีจิตวิญญาณถือครองรักษา มีทั้งเกิดจากแร่ธาตุหินรัตนชาติต่างๆ หรือชนิดที่เกิดจากความมหัศจรรย์ลึกลับน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นบุญตา บุญใจ สำหรับพวกเราที่ได้มีวาสนาพบเห็นและได้ครอบครองทั้งหลายทั้งปวงย่อมมีเจ้าของ ผู้ที่เคยครอบครองหรือมีความผูกพันต่อกันมาแล้วแต่ปางก่อนท่านั้นจึงจะมีวาสนา เล่าว่าผู้ใดคือเจ้าของ ? คำตอบก็คือเหมือนรักแรกพบ หรือเรียกอีกอย่างว่า คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน
“คด”เป็นประเภทกายสิทธิ์ในตัวเองมีเทพสถิตย์รักษา เป็นของอาถรรพ์ที่มีอิทธิฤทธิ์รองจากเหล็กไหล แต่กลับมีอิทธิคุณบางอย่างดีกว่า เหล็กไหล ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึงความวิเศษเหล่านี้เองที่ผู้รู้ได้ปกปิดเอาไว้เป็นความลับ ทำให้ผู้ที่นิยมในธาตุกายสิทธิ์เข้าใจผิดคิดกันไปเองว่า อานุภาพของคดด้อยกว่าเหล็กไหล เป็นความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์ชั้นสูงที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุของเหล่าฤษีผู้ทรงอภิญญาซึ่งเมื่อได้ละสังขารไปแล้ว จิตวิญญาณไม่ยอมไปสู่ภพภูมิที่ควรจะไปยังห่วงที่จะเข้ายึดครองธาตุเหล็กไหลแทนสังขารเดิมของตน ความวิเศษของเหล็กไหลส่วนหนึ่งจึงเกิดขึ้นจากจิตตานุภาพขององค์ฤษีเป็นผู้บันดาล หาได้เกิดจากตัวเหล็กไหลเองทั้งหมดไม่ และค่อนข้างจะเลือกปฏิบัติเสียด้วยซ้ำไป เพราะจิตของฤษีเป็นผู้ที่ชอบบำเพ็ญภาวนารักษาศีลจึงเลือกจะช่วยเหลือผู้ครอบครองที่เป็นคนดีมีศีลธรรมมากกว่าที่จะปกป้องคุ้มครองผู้ที่ด้อยในศีลธรรม จึงทำให้พลังของเหล็กไหลที่มีผู้ครอบครองได้ผลปริมาณที่แตกต่างกัน
เป็นเรื่องน่าแปลกพิสดารที่อยู่ๆผลไม้ หรือไข่ของสัตว์รวมถึงกระทั่งอวัยวะของสัตว์บางชนิดจะกลายเป็นหินเพียงระยะเวลาแว๊บเดียว ซึ่งคนโบราณเรียกสิ่งนี้ว่า “คด” หรือ “แสง”
กายสิทธิ์ประเภทคดบางชนิดสามารถเปล่งแสงยามค่ำคืนได้จึงเรียกว่า”แสง”บางคนอาจจะเข้าใจว่าคดและแสงนั้นแตกต่างกันตามที่ผู้รู้และครูบาอาจารย์ที่เล่นกายสิทธิ์ประเภทคดโดยตรงนั้นบอกว่าคดและแสงนั้นคือ กายสิทธิ์ประเภทเดียวกันแต่ที่เปล่งแสงในยามค่ำคืนนั้นเพื่อต้องการบอกให้คนได้รู้ว่าที่ตรงนั้นมีของกายสิทธิ์สถิตย์อยู่เพื่อรอคอยคนที่มีบุญบารมีได้มาครอบครอง
กายสิทธิ์ประเภท “คด” นั้นมีคุณสมบัติหรือฤทธิ์ที่เด่นไม่เหมือนกัน บางพวกช่วยในการดึงดูดโภคทรัพย์สมบัติ บางพวกช่วยให้เจ้าของมีเสน่ห์ให้คนรัก คนนิยมชมชอบ และบางพวกป้องกันภัยอันตรายต่างๆหรือที่แบบบู๊ๆ ก็คงกระพัน มหาอุด ฟันแทงไม่เข้ากันเลยทีเดียว
บางพวกถึงกับเชื่อว่า กายสิทธิ์ประเภท “คด” นั้นเป็นการจุติลงมาเกิดภพมนุษย์ของทวยเทพในลักษณะหนึ่งวัตถุประเภทนี้จึงมีสรรพคุณต่างๆ ทั้งทางด้านเป็นยารักษาโรคและมีอำนาจในด้านต่างๆ ในสมัยโบราณเหล่านักรบและผู้ที่ต้องเสี่ยงภัยต่างเสาะแสวงหาคดชนิดต่างๆมาเพื่อป้องกันตัวตามความเชื่อของแต่ละคน
กายสิทธิ์ประเภท “คด” นั้นมีกำเนิดลี้ลับมหัศจรรย์ที่ผู้รู้ในอดีตท่านได้ปกปิดเป็นความลับได้บันทึกเอาไว้ว่า
คดนั้นมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกันคือ
1.คดที่เกิดจากพืช เช่น ผล,ดอกหรือฝักกลายเป็นหินลำต้นหรือเครือกลายเป็นหิน บางส่วน เป็นก้อนหินที่เกิดในใจกลางของลำต้นก็มี เป็นต้น
- คดที่เกิดจากพืช เป็นของกายสิทธิ์กำเนิดจากบัญชาของสวรรค์บันดาลให้เกิด โดยผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เนรมิตขึ้นมาเพื่อมอบให้กับผู้ที่มีวาสนาจะได้ครอบครองเป็นของคู่บุญเฉพาะคน เช่น คดขนุน คดสัก คดไทร คดไม้จันทร์หอม คดไม้กาหลงรัง คดไม้ไผ่ คดฝักคูณ คดฝักมะรุม คดมะพร้าว เป็นต้น
2. คดที่เกิดจากสัตว์ เช่น ไข่กลายเป็นหิน อวัยวะของสัตว์กลายเป็นหิน เช่น ไข่กระโปกกลายเป็นหิน กระจู๋กลายเป็นหิน เป็นต้น
- คดที่เกิดจากสัตว์ มีกำเนิดสืบเนื่องจากบุพกรรมของสัตว์ชนิดนั้นๆ ซึ่งแต่เดิมก็คือเทพเทวา นางฟ้า ที่ได้กระทำผิดกฎสวรรค์ บางประการแล้วได้ถูกลงทัณฑ์เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ตามแต่ผลกรรมของตน จึงบันดาลให้ไปเกิดเมื่อถึงคราวจะหมดกรรม ก็จะ อธิษฐานร่างให้เป็นของกายสิทธิ์ อันเป็นการสร้างทานบารมีก่อนขึ้นจะกลับขึ้นไปสวรรค์ดังเดิม เช่น คดไข่ไก่ คดไข่เป็ด คดไข่ห่าน คดไข่เต่า เป็นต้นส่วนคดที่เป็นเขา เขี้ยว หรือลูกตานั้น จะเกิดมาพร้อมกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเป็นของคู่บุญบารมีของสัตว์ตัวนั้น เพื่อจะได้ทำการปกป้องคุ้มครองชีวิตและร่างกายให้ปลอดภัยจนกว่าสัตว์ตัวนั้นจะหมดกรรมลง เช่น เขากวางคุด เขากระจงคุด เขี้ยวหมูตัน เพชรตาแมว เป็นต้น
3.คดที่เกิดจากมนุษย์ (คน) เช่น อวัยวะบางส่วนกลายเป็นหิน เช่น ตับกลายเป็นหิน เป็นต้น
- คดที่เกิดจากคน จะเกิดได้ 2 กรณีดังนี้
1. เกิดมาพร้อมกับคนๆนั้นเป็นของคู่บุญบารมี
2. เกิดกับคนที่เรียนวิชาไสยศาสตร์ชั้นสูงและมีพลังจิตที่แกร่งกล้า ภายในร่างกายก็จะเกิดคดขึ้น
“คด” ที่เกิดขึ้นกับทั้งสองข้อนี้คือ ตับเหล็ก เคราทองแดง กระโปกทองแดง เกล้านางนี หรือเมาลีพระโพธิ์สัตว์ เนื้อคุณ(หนังคนไม่ไหม้ไฟ) กระดูกคนเป็นสีดำ
4. คดที่เกิดจากแร่ธาตุต่างๆ ที่เกิดผิดธรรมชาติบางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นหินหรือเกิดจากมหัศจรรย์ลึกลับ
- คดที่เกิดจากแร่ธาตุต่างๆ การเกิดกายสิทธิ์ชนิดนี้แตกต่างไปจากทั้ง 3 กลุ่ม แต่มีคุณเช่นเดียวกัน เช่น คดดินกากยายัก หัตถ์แม่พระธรณี ขวานฟ้าฟาด หมอนนกกระเต็น คดมะม่วงเหล็กไหลเจ้าป่าน้ำหนึ่ง เป็นต้น
อานุภาพของคดนั้นเป็นของวิเศษที่มีอิทธิคุณรอบตัว น้องๆเหล็กไหลแต่ที่กล่าวว่าดีกว่าเหล็กไหลก็คือ คดนี้จะแฝงพลังปราณคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เรียกว่าจะดีจะชั่วอย่างไรฉันก็จะคุ้มครองช่วยเหลือจนกว่าจะตายจากกันไปเลยทีเดียวกายสิทธิ์ประเภท “คด” นั้นผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ทางด้าน กายสิทธิ์ประเภท “คด” โดยเฉพาะได้แยก “คด” ออกมาเป็น 3 สายคือ
1. สายพระอินทร์ เนื่องจากหลังกึ่งพุทธกาลธาตุธรรมเบื้องบนอธิษฐานจิตลงมาสร้างบารมีปกป้องรักษาพุทธศาสนากันมากมายเพื่อให้อยู่ครบ5000ปี ตามพุทธทำนาย เทพเทวาที่อยู่ในการปกครองขององค์อินทร์นั้นส่วนหนึ่งได้รับคำบัญชาให้ลงมาสถิตย์อยู่ในธาตุกายสิทธิ์( โดยการแบ่งภาคลงมา) หรือเทพเทวาบางองค์ก็ลงมาเองด้วยความสมัครใจเพื่อสร้างสมบารมีของตัวเอง และเทพเทวาบางองค์ได้ทำผิดกฎทางเบื้องบนก็ถูกทำโทษลงมาสถิตย์อยู่ในธาตุกายสิทธิ์จนกว่าจะหมดกรรม เทพเทวาทุกองค์ที่ลงมาในลักษณะใดก็แล้วแต่มาเพื่อปกป้องรักษาพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปีและก็ลงมาเพื่อสร้างบารมีด้วยเพราะมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถสร้างบารมีให้ขึ้นสูงไปสู่นิพพานได้ เมื่อเทพเทวาลงมาสถิตย์ในสิ่งใดก็แล้วแต่ ในเวลาไม่กี่วินาทีสิ่งนั้นจะกลายเป็นหิน (คด) ในทันทีและจะมีพลังปราณที่เข้มข้นอัดแน่นอยู่ข้างใน จนของสิ่งนั้นกลายเป็นกายสิทธิ์ในตัวเองทันที และยังมีจิตครองรักษาอยู่ด้วยหมายความว่านอกจากเป็นกายสิทธิ์ในตัวเองแล้วยังมีจิตของเทพเทวา ดูแลเฝ้ารักษาอยู่ข้างในอีกด้วย เช่น คดตะเคียน (นอกจากเป็นกายสิทธิ์แล้วยังมีจิตนางตะเคียนเฝ้าอยู่ด้วย) คดนางพญางิ้วดำ คดโพธิ์ คดกล้วยตานี คดไข่จระเข้ เป็นต้น
2. สายพระโพธิ์สัตว์ เกิดจากองค์พระโพธิสัตว์ต้องการสร้างและสั่งสมบารมีเพื่อที่ต้องการจะสำเร็จเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในภายภาคหน้าและลงมาช่วยปกป้องพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี ท่านจึงพิสดารกาย ลงมาในธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆหรือธาตุกายสิทธิ์ประเภทคด คดประเภทนี้จะเกิดกับสัตว์หรือพืชบางชนิดเท่านั้น นอกจากคดประเภทนี้จะเป็นกายสิทธิ์ในตัวแล้วยังมีจิตของพระโพธิ์สัตว์สถิตย์อยู่ภายในด้วย คดประเภทนี้ถือว่าเป็นคดที่หายากมากๆ และมีพลังปราณสูงมาก เช่น คดกระจู๋สิงห์โตเผือก คดกระจู๋หมาป่า คดกระโปกทองแดง คดขนุนทองดำ คดขนุนเหล็กไหลเจ้าป่าน้ำหนึ่ง คดเขากวางคุดเหล็กไหลเพลิง คดหมอนนกกระเต็นทองดำ คดไข่พญาครุฑทองแดง เป็นต้น เราจะรู้หรือสังเกตได้อย่างไรว่าคดชิ้นนั้นเป็นสายพระโพธิสัตว์ ส่วนมากแล้วคดสายพระโพธิสัตว์ส่วนมากจะเป็นคดประเภทคดกระจู๋และคดไข่กระโปกสัตว์เท่านั้น ถ้าเกิดในพืชนั้นธาตุกายสิทธิ์จะต้องกลั่นตัวให้ใสเนื้อต้องแกร่งจนเป็นสีเป็นทองแดงและทองดำเช่น คดขนุนทองแดง คดขนุนทองดำหรือเป็นคดพืชที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา เช่น คดศรีมหาโพธิ์ เป็นต้น และยังมีกลุ่มคดอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากแร่ธาตุต่างๆหรือเกิดจากมหัศจรรย์ลึกลับคดประเภทนี้ส่วนมากจะเป็นสายพระโพธิสัตว์ เช่น คดหน้าพญาครุฑ คดพญาเขากวางคุด คดสะเก็ดดาว คดอุณาโลม คดดินกากยายัก คดหมอนนกแตดแต้ เป็นต้น และถ้าคดชนิดใดก็แล้วแต่ที่มีสีใสเหมือนแก้วมากเท่าไรก็จะเป็นสุดยอดของคดชั้นสูงที่องค์พระโพธิสัตว์ชั้นสูงจะลงมาสถิตย์ดูแลรักษาแต่คดกลุ่มนี้หายากมาก
3. สายนิพพาน คดประเภทนี้โอกาสที่จะได้ลงมาจุตินั้นหายากมากๆ แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งนี้จะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหรือเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า กล่าวว่าในชั้นนิพพานนั้นมีพระพุทธเจ้าอยู่มากมายหลายพระองค์ แล้วแต่บารมีของท่านองค์ไหนจะลงมาถ้าลงมาก็จะสถิตย์อยู่ในธาตุกายสิทธิ์ แต่ธาตุกายสิทธิ์นั้นจะต้องเป็นสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและจะมีพระโพธิสัตว์สายพญานาค 9 เศียรสีทองจะอาสาลงมาดูแลคดในสายนิพพานนี้ คดในสายนิพพานนี้ที่เห็นปรากฏอยู่น่าจะมีเพียง “ คดรอยพระบาท ” เท่านั้นแต่ก็หายากสุดๆเหมือนกัน อิทธิบารมีไม่ต้องพูดถึงแล้วแต่อธิษฐานเอา
ครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ในเรื่องคดโดยตรงกล่าวไว้ว่าในบรรดาคดประเภทต่างๆนั้นที่เป็นสุดยอดของคดนั้นก็ยังมีอยู่แต่แยกมาเป็น 2 ประเภทคือ
- สุดยอดของคดประเภทพืชก็คือ คดศรีมหาโพธิ์โพธิ์ ถือว่าต้นศรีมหาโพธิ์นั้นเกิดมาคู่กับศาสนาพุทธเพราะเป็นต้นไม้ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราได้นั่งตรัสรู้ นอกจากเป็นกายสิทธิ์ในตัวเองแล้วยังมีองค์พระโพธิสัตว์ชั้นสูงสถิตย์อยู่ภายในอีกด้วย ถ้าตรวจเช็คทางรังสีออร่าสีที่ออกมาจะมีถึง 11 สีเลยทีเดียว
- สุดยอดของคดประเภทสัตว์คือ เพชรตาแมว (ตาแมวกลายเป็นหิน) ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านได้บอกว่าเพชรตาแมวนั้น ถ้าจะให้สุดยอดต้องเป็นเพชรตาแมวของแมวสีสวาท พลังของเพชรตาแมว (สุดยอดของสายคด) นั้นถ้านำมาเปรียบเทียบกับเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีเขียวปีกแมลงทับ พลังของเพชรตาแมวจะสูงกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีเขียวปีกแมลงทับ แต่สูงกว่าไม่มาก ถ้าเปรียบเป็นเปอร์เซ็นต์ เพชรตาแมว 100% เหล็กไหลน้ำหนึ่งสีเขียวแมลงทับ 95%
ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เพชรตาแมว และเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีเขียวแมลงทับมีพลังคุ้มครองทุกด้าน(ครอบจักรวาล) เช่น มหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด โชคลาภ เมตตามหานิยม ป้องกันอาถรรพ์คุณไสยต่างๆ ครูบาอาจารย์ที่เคยสัมผัสพลังของเพชรตาแมวบอกว่า แรงสะท้านในทุกๆด้านส่วนเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีเขียวปีกแมลงทับครูบาอาจารย์ท่านสัมผัสมาบอกว่าพลังแรงสะท้านในทุกๆด้านเหมือนกันแต่มีบางด้านเท่านั้นที่น้อยกว่าเพชรตาแมวนิดเดียวเท่านั้นเพราะเหล็กไหลน้ำหนึ่งสีเขียวแมลงทับเป็นสายพระฤษีส่วนเพชรตาแมวนั้นเป็นสายพระโพธิ์สัตว์นั้นเอง
บางคนอาจเข้าใจว่า คดต้นศรีมหาโพธิ์และเพชรตาแมวเป็นสุดยอดของคดประเภทพืชและคดประเภทสัตว์ เกิดจากครูบาอาจารย์สมัยก่อนได้พบและได้สัมผัสกับพลังของกายสิทธิ์ทั้งสองนี้และยังไม่พบคดชนิดใดที่เท่าหรือแรงกว่าคดสองชนิดนี้เท่านั้น
มาปัจจุบันได้มีคดเกิดขึ้นมามากมายและมีคดบางชนิดมีพลังเทียบเท่า คดศรีมหาโพธิ์และเพชรตาแมวเกิดขึ้นมาอีกคือ คดหน้าพญาครุฑ คดเขากวางคุด 5 ยอด คดไข่พญามังกร คดลูกแก้วพญานาค 9 เศียร คดมะม่วงเหล็กไหลน้ำหนึ่งเจ้าป่า คดเขากวางคุดเหล็กไหลเพลิง คดหินพระธาตุ คดขนุนขุนนางจีน คดแต่ละชนิดนั้นพลังเขาจะเด่นไปคนละด้าน แต่ทุกคดก็สามารถนำไปใช้ได้ครอบจักรวาลเหมือนกัน แต่ที่สุดยอดในยุคปัจจุบันนี้ก็คงไม่มีคดชนิดไหนเทียบได้กับ “ คดรอยพระบาท “ ถือว่าเป็นของมงคลที่สูงที่สุดที่ไม่สามารถหาสิ่งใดมาเทียบได้อีกแล้ว เพราะเป็นคดสายนิพพาน
ในสังคมไทยไม่ปรากฎหลักฐานว่านิยมเครื่องรางของขลังมาแต่เมื่อไร แต่เข้าใจว่าน่าจะมีมานานแล้ว เท่าที่พบหลักฐานแน่ชัดในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะมีเรื่องปรากฏทั้งในพระราชพงศาวดารและในวรรณคดีต่างๆ เมื่อเกิดศึกสงครามก็มักจะมีการหาเครื่องรางของขลังต่างๆมาไว้ป้องกันตัว เช่น ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน “ขุนแผนพานางวันทองไปขุนช้างออกมาตาม” ขุนช้างได้เตรียมเครื่องรางติดตัวไปด้วย ดังคำกลอน
...จัดแจงแต่งตัวนุ่งยก เข็มขัดรัดอกแล้วโจงหาง
ผูกตัวเข้าเป็นพรวนล้วนเครื่องราง พระปรอทขอดหว่างมงคล
ลูกไข่ดันทองแดงกำแพงเพชร ไข่เป็นหินขมิ้นผง
ตะกรุดโทนของอาจารย์คง และอมองค์พระคะวัมล้ำจังงัง
ในคำกลอนข้างบนนี้ เครื่องรางที่ขุนช้างพกติดตัวส่วนหนึ่งเป็นคด
- ลูกไข่ดันทองแดงกำแพงเพชร (คดไข่กระโปกสัตว์)
- ไข่เป็นหิน (คดไข่)
และตอนที่กล่าวถึงตรีเพชรกล้าดังในคำกลอนที่กล่าวว่า
...อันแม่ทัพนี้มีศักดา อยู่ศาสตราวิชาดี
แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง
สักอุระรูปพระโมคคลา ___ปิดตานั้นสักหลัง
สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา
ฝังเข็มเล่มทองไว้สองไหล่ ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า
ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว
-. เทียนคล้า คือ คดคล้าเป็นแก่นแข็งเกิดขึ้นในต้นคล้า
-. แก้วตาแมว คือ ก้อนหินที่เกิดจากนัยน์ตาแมวหรือเรียกว่า เพชรตาแมวนั่นเอง
ดังจะเห็นได้จากคำกลอน 2 ชุดนี้ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ขุนช้างและตรีเพชรกล้า นอกจากจะมีเครื่องรางของขลังจากครูบาอาจารย์แล้วก็ยังต้องมีคดติดตัวไว้ประจำกายด้วย
เครื่องรางประเภทคดนั้นไม่สามารถดูแบบพระกรุหรือพระเครื่องทั่วๆไปได้ นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องแบบพระทั่วๆไป อีกส่วนต้องสัมผัสด้วยพลังจิตของครูบาอาจารย์หรือคนที่อยู่ในสายปฏิบัติที่สามารถสัมผัสถึงพลังแห่งธาตุกายสิทธิ์ได้ ระดับพื้นๆสามารถรู้ถึงพลังธาตุกายสิทธิ์แห่งคดแต่ละชิ้นว่าแรงระดับไหน ระดับกลางก็จะสามารถรู้ว่าเป็นคดอะไร เทพเทวาระดับไหนสถิตย์อยู่ ระดับสูงก็จะรู้ว่าในธาตุกายสิทธิ์แห่งคดนั้นมีเรือนทิพย์และกายทิพย์ของเทพเทวาอยู่ข้างในและสามารถสื่อสารและพูดคุยกับเทพเทวานั้นได้ แต่ขอบอกอีกอย่างว่าธาตุกายสิทธิ์ประเภทคดชนิดเดียวกันทุกชิ้นจะไม่เหมือนกันครับผม